การเขียนโปรแกรมด้วย JavaScript ถือว่าเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน JavaScript เป็นภาษาที่ทำงานบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้โดยตรง ทำให้สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันที เช่น การสร้างปุ่มที่เมื่อกดแล้วมีการเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บแบบ real-time หรือการโหลดข้อมูลใหม่โดยไม่ต้องรีเฟรชทั้งหน้าเว็บ (AJAX)
1. เริ่มต้นกับ JavaScript
คุณสามารถเขียน JavaScript ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษ เพียงแค่ใช้เว็บเบราว์เซอร์และ Text Editor ใดก็ได้ ในการเขียนโค้ด JavaScript ให้สร้างไฟล์ HTML ขึ้นมาก่อน:
html<!DOCTYPE html>
<html lang="en">
<head>
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>JavaScript Example</title>
</head>
<body>
<h1>Welcome to JavaScript</h1>
<button onclick="sayHello()">Click me</button>
<script src="script.js"></script>
</body>
</html>
จากนั้นสร้างไฟล์ script.js
และใส่โค้ดดังนี้:
javascriptfunction sayHello() {
alert("Hello, World!");
}
เมื่อคุณกดปุ่มในเว็บเพจ ระบบจะเรียกฟังก์ชัน sayHello()
และแสดงข้อความขึ้นมา
2. การประกาศตัวแปร (Variables)
ใน JavaScript คุณสามารถใช้คำสั่ง var
, let
, หรือ const
เพื่อประกาศตัวแปรได้ แต่ละคำมีความแตกต่างในการใช้งาน:
javascriptvar name = "Alice"; // ประกาศตัวแปรแบบเก่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้
let age = 25; // ประกาศตัวแปรใหม่ที่ใช้เฉพาะใน block scope
const height = 1.75; // ประกาศตัวแปรค่าคงที่ ไม่สามารถเปลี่ยนค่าได้
ใช้ let
และ const
สำหรับการเขียนโค้ดที่ปลอดภัยกว่า เพราะ var
อาจทำให้เกิดปัญหาการซ้ำซ้อนของตัวแปรในโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่
3. การทำงานกับเงื่อนไข (Conditional Statements)
เราสามารถใช้ if
, else if
, และ else
เพื่อควบคุมการทำงานของโปรแกรม:
javascriptlet age = 18;
if (age >= 18) {
console.log("You are an adult.");
} else {
console.log("You are a minor.");
}
การตรวจสอบเงื่อนไขสามารถช่วยให้โปรแกรมของคุณทำงานตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้
4. การใช้ลูป (Loops)
การใช้ลูปใน JavaScript ทำให้เราสามารถทำซ้ำโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
javascriptfor (let i = 0; i < 5; i++) {
console.log("This is iteration", i);
}
นอกจากนี้ยังมี while
และ do...while
สำหรับกรณีที่ต้องการลูปตามเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง
5. การสร้างและเรียกใช้ฟังก์ชัน (Functions)
JavaScript สนับสนุนการสร้างฟังก์ชันที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทำให้โค้ดของเรามีโครงสร้างที่ดีขึ้น:
javascriptfunction add(a, b) {
return a + b;
}
let sum = add(5, 3);
console.log(sum); // Output: 8
ฟังก์ชันช่วยลดความซ้ำซ้อนของโค้ดและทำให้การแก้ไขทำได้ง่ายขึ้น
6. การทำงานกับ Array
ใน JavaScript, Array ใช้เก็บข้อมูลหลายค่าภายในตัวแปรเดียว:
javascriptlet fruits = ["Apple", "Banana", "Cherry"];
console.log(fruits[0]); // Output: Apple
fruits.push("Orange"); // เพิ่มค่าเข้าไปใน Array
console.log(fruits); // Output: ["Apple", "Banana", "Cherry", "Orange"]
Array สามารถจัดการกับข้อมูลหลายค่าพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การจัดการกับ DOM (Document Object Model)
DOM เป็นส่วนที่ใช้ในการเข้าถึงและปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ HTML ภายในหน้าเว็บ:
javascriptdocument.getElementById("myButton").addEventListener("click", function() {
document.getElementById("myText").innerHTML = "Button Clicked!";
});
โค้ดนี้จะรอให้ปุ่มถูกคลิก จากนั้นจะเปลี่ยนข้อความใน <div>
ที่มี id="myText"
8. การทำงานกับ Fetch API
สำหรับการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องรีเฟรชหน้าเว็บ เราสามารถใช้ Fetch API:
javascriptfetch('https://api.example.com/data')
.then(response => response.json())
.then(data => console.log(data))
.catch(error => console.error('Error:', error));
นี่เป็นตัวอย่างการดึงข้อมูล JSON จาก API และแสดงผลออกมาทางคอนโซล
9. การจัดการข้อผิดพลาด (Error Handling)
การใช้ try
และ catch
ช่วยให้เราจัดการข้อผิดพลาดในโค้ดได้:
javascripttry {
let result = riskyFunction();
} catch (error) {
console.error("Error occurred:", error);
}
การจัดการข้อผิดพลาดทำให้โปรแกรมทำงานได้ราบรื่นแม้เกิดปัญหา
10. การเขียนโค้ดที่มีประสิทธิภาพ
JavaScript มีเทคนิคในการเขียนโค้ดที่ทำให้โปรแกรมทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การใช้ฟังก์ชันแบบลูกศร:
javascriptlet multiply = (x, y) => x * y;
console.log(multiply(4, 5)); // Output: 20
ฟังก์ชันลูกศรนี้มีโครงสร้างที่กระชับและอ่านง่าย